คุณสมบัติของผ้าที่นำมาใช้ตัดเสื้อ 2

คุณสมบัติของผ้าที่นำมาใช้ตัดเสื้อ 2
    นำไปสู่การพัฒนาฝ้ายอินทรีย์มากขึ้น ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบเกี่ยวกับธุรกิจนี้ เพื่อกำหนดขอบเขตในคุณลักษณะของฝ้ายอินทรีย์ ให้มีกระบวนการที่ผลิตที่มีคุณภาพ ซึ่งเรียกว่า องค์กรฝ้ายอินทรีย์แห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ โจคะ (Jdpdn Orgdnic Cotton Associdtion) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้กฎหมายที่ไม่แสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นในปี 2000 เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ของฝ้ายและประชาสัมพันธ์การบริโภค มีการดำเนินงานคือ รับรองคุณภาพและให้ติดฉลากฝ้ายอินทรีย์ปลอดสารพิษ ด้วยการติดป้าย 3 ประเภทไว้ที่ผลิตภัณฑ์ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค นำไปสู่การตลาดที่เป็นหัวใจสำคัญที่ได้อธิบายความหมายของ ป้าย 3 ประเภทไว้ดังต่อไปนี้

คุณสมบัติของผ้าที่นำมาใช้ตัดเสื้อ 2

   นำไปสู่การพัฒนาฝ้ายอินทรีย์มากขึ้น ทำให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบเกี่ยวกับธุรกิจนี้ เพื่อกำหนดขอบเขตในคุณลักษณะของฝ้ายอินทรีย์ ให้มีกระบวนการที่ผลิตที่มีคุณภาพ ซึ่งเรียกว่า องค์กรฝ้ายอินทรีย์แห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ โจคะ (Jdpdn Orgdnic Cotton Associdtion) ซึ่งเป็นองค์กรภายใต้กฎหมายที่ไม่แสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นในปี 2000 เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ของฝ้ายและประชาสัมพันธ์การบริโภค มีการดำเนินงานคือ รับรองคุณภาพและให้ติดฉลากฝ้ายอินทรีย์ปลอดสารพิษ ด้วยการติดป้าย 3 ประเภทไว้ที่ผลิตภัณฑ์ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค นำไปสู่การตลาดที่เป็นหัวใจสำคัญที่ได้อธิบายความหมายของ ป้าย 3 ประเภทไว้ดังต่อไปนี้

   PURE : บริสุทธิ์

   ฉลากนี้บนผลิตภัณฑ์คือ ทำจากฝ้ายอินทรีย์ปลอดสาร 100% โดยที่ยังไม่ได้มีการย้อมหรือพิมพ์ลายใดๆ มีความพิเศษคือ หากจำเป็นต้องผสมเส้นใยสังเคราะห์ ต้องผสมให้น้อยลงกว่า 10%

   PURE Dyed/Printed : ย้อม หรือพิมพ์ภาพแบบบริสุทธิ์

   ฉลากนี้บนผลิตภัณฑ์จะกล่าวถึงคุณภาพเช่นเดียวกับ Pure ที่ยืนยันคุณภาพในการย้อมและการพิมพ์ภาพใดๆลงบนฝ้ายมาตรฐานเดียวกัน

   BLEND : กลมกลืน

   หมายถึง ผลิตภัณฑ์กว่า 60% เป็นฝ้ายอินทรีย์ที่ใช้ ฝ้ายจำพวก ขนสัตว์ ลินิน ไหม และอื่นๆ น้อยกว่า 40% หรือมีใยสังเคราะห์ผสมอยู่น้อยกว่า 10%

   ปัจจุบันทั้งผู้ผลิตเครื่องประดับและนักออกแบบ ซึ่งก็เสมือนเป็นผู้ค้าปลีก เริ่มมีความสนใจในฝ้ายเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่การอุปโภคฝ้ายในแต่ละปีของญี่ปุ่นนั้นอยู่ที่ประมาณ 8 แสนตัน แต่กำลังการผลิตผ้าฝ้ายอินทรีย์มีเพียง 300-350 ตันต่อปีเท่านั้น

   จึงเป็นเสมือนแนวคิดเพื่อต่อยอดการพัฒนา ซึ่งคุณผู้อ่านหรือผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถนำไปเป็นช่องทางในการจำหน่ายเสื้อยืดที่ผลิตจากผ้าฝ้ายอินทรีย์ เพื่อจำหน่ายกับนัก ท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่น หรือทำธุรกิจกับชาวญี่ปุ่นได้ก่อนใครๆ

๒. ผ้าผสมระหว่างเส้นใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์ หรือที่เรียกกันว่า

ผ้า TC  CVC  CTC

   ผ้าชนิดนี้เป็นผ้าที่ผสมระหว่างเส้นใยธรรมชาติคือ คอตต้อน เบอร์ 20 และ 40 ทอรวมกับผ้าใยสังเคราะห์ หรือ โพลีเอสเตอร์ (Polyester) เรียกกันทั่วไปว่าผ้า TC  CVC  CTC  แตกต่างกันไปตามเปอร์เซ็นต์การผสม ดังนี้

   - ผ้า TC  มีผ้าคอตต้อนผสมกับโพลีเอสเตอร์  ในอัตราส่วน 65% ต่อ 35%   ไม่ยืด ไม่หด ไม่ย้วย  สามารถทนทานต่อการซักเครื่องได้ดี ตัวผ้าไม่ขึ้นเม็ด ปุ่ม ปม  มีราคาปานกลาง

   - ผ้า CVC มีผ้าคอตต้อนผสมกับผ้าโพลีเอสเตอร์  ในอัตราส่วน 70-85% ต่อ  15- 30% ซึมซับเหงื่อได้ดี แต่ยังคงมีอัตราการยืดหด ย้วย จึงมีสัมผัสใกล้เคียงกับคอตต้อน

และมีราคาสูง

   - ผ้า CTC มีผ้าคอตต้อนผสมกับโพลีเอสเตอร์ ในอัตราส่วน 70% ต่อ 30% มีราคาปานกลาง

   ผ้าผสมระหว่างเส้นใยสังเคราะห์และเส้นใยธรรมชาติ ทั้งสามลักษณะมีข้อดีคือ อยู่ทรง ไม่หดไม่ย้วย แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญอยู่คือ ระบายอากาศไม่ดีจึงมีกรรมวิธีการทอผ้าให้เป็นรูเล็กๆ แบบรังผึ้ง หรือที่เรียกว่าการทอแบบ จุติ (Juti) เพื่อระบายอากาศ เนื้อผ้าที่ผ่านการทอแล้วจึงมีลักษณะมันวาว ราคาของผ้าจึงขึ้นอยู่กับสีที่เลือก

   แต่ถึงแม้จะทอให้เส้นใยมีรูเล็กๆ เพื่อช่วยในการระบายอากาศแล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง ไม่ดีเท่าผ่าคอตต้อนโดยเสื้อยืดที่ทอจากผ้าประเภทนี้มีราคาอยู่ในระดับเกณฑ์ปานกลาง ขึ้นอยู่กับเบอร์ผ้า และเปอร์เซ็นต์การผสมของเส้นใย

๓. ผ้าใยสังเคราะห์ หรือโพลีเอสเตอร์ หรือผ้า TK

   เส้นใยสังเคราะห์ที่ส่วนผสมหลักของผ้าชนิดนี้คือ เส้นใย Polyester ซึ่งสังเคราะห์ได้จากการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี เมื่อโดนความร้อนหรือไฟ จะหดตัวละลาย เป็นลักษณะคล้ายพลาสติกละลาย

   จากนั้นจึงนำเส้นใย Polyester มาทอเป็นผ้า ด้วยการทอแบบรังผึ้ง เพื่อให้เกิดรูระบายอากาศ เรียกกันว่า ผ้าT/K หรือ TK หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดเพราะราคาค่อนข้างถูก

   เนื้อผ้าจึงมีลักษณะมันวาว ไม่ค่อยยับ อยู่ทรง ไม่ย้วย สีไม่ตก ไม่ดูดซับน้ำ ซึ่งแม้จะมีรูพรุนแต่คุณสมบัติในการระบายอากาศไม่ค่อยดีนัก ถ้าใส่อยู่ในที่แดดร้อนๆหรืออากาศอบอ้าว จะรู้สึกไม่สบายตัว โดยเฉพาะคนที่เหงื่อออกง่ายจะยิ่งชุ่มไปด้วยเหงื่อ ยิ่งใช้งานไปนานๆจะมีลักษณะปุ่มปมของเส้นใยขึ้นมาบนเนื้อผ้า

• < ก่อนหน้า
• ต่อไป >